ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับน้ำ
จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณและคุณภาพของแหล่งน้ำดิบ ทั้งกรณีน้ำแล้งและน้ำท่วม หรือปัญหาการลุกล้ำของน้ำเค็มในบางช่วงฤดูกาล ทำให้กลุ่มบริษัทฯ ต้องบริหารจัดการน้ำเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการได้น้ำดิบที่เป็นวัตถุดิบมาใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้จากการขายไฟฟ้าและการแย่งชิงน้ำใช้กับชุมชนหรือพื้นที่เกษตรกรรม
บริษัทฯ ได้จัดทำกระบวนการประเมินความเสี่ยงเรื่องน้ำ (Water Risk Assessment Procedure) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESMS) เพื่อเป็นเครื่องมือในการประเมินความเสี่ยงตามเกณฑ์ของ WWF Water Risk Filter และ World Resources Institute's Aqueduct Water Risk Atlas เพื่อใช้วิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เช่น ข้อกำหนดของกฎหมาย การเงิน ปริมาณ/คุณภาพและสมดุลการใช้น้ำ และกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องกับการใช้น้ำ จากนั้นจึงนำมาจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำ
การประเมินระดับความตึงเครียดของน้ำและการบริหารจัดการน้ำ
แหล่งน้ำดิบสำคัญที่ถูกนำมาใช้ในกระบวนการผลิตหลักของกลุ่มบริษัทฯ ในปี 2567 ยังคงเป็น 3 ลุ่มน้ำหลัก ได้แก่ ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลุ่มแม่น้ำบางปะกง ซึ่งแม่น้ำแม่กลองจะนำมาใช้เป็นแหล่งน้ำดิบโดยตรงสำหรับโรงไฟฟ้าในจังหวัดราชบุรี และลุ่มแม่น้ำบางปะกง สำหรับโรงไฟฟ้าในจังหวัดชลบุรีและระยอง ส่วนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจะเป็นแหล่งน้ำที่ผู้จัดหาน้ำนำมาใช้ในการผลิตน้ำประปาเพื่อนำส่งให้กลุ่มโรงไฟฟ้าในจังหวัดปทุมธานีใช้ในกระบวนการผลิต

ผลการประเมินระดับความตึงเครียดของน้ำในปี 2567 ของ 3 ลุ่มแม่น้ำดังกล่าว พบว่า ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและลุ่มแม่น้ำบางปะกง จัดอยู่ในระดับที่มีความตึงเครียดของน้ำสูง (40-80%) จึงได้มีการกำหนดแนวทางการบริหารความเสี่ยง และมาตรการบริหารจัดการการใช้น้ำของโรงไฟฟ้า เพื่อให้สามารถคงศักยภาพในการผลิตและไม่สร้างผลกระทบต่อชุมชนในการแย่งชิงทรัพยากรน้ำ
แนวทางการบริหารความเสี่ยงและมาตรการการจัดการทรัพยากรน้ำ
สำหรับโรงไฟฟ้าที่มีการใช้น้ำดิบและน้ำประปาจากแหล่งลุ่มน้ำที่มีระดับความตึงเครียดสูง จะมีแนวทางและมาตรการดำเนินการดังนี้
- โรงผลิตไฟฟ้านวนคร และโรงไฟฟ้าราช โคเจนเนอเรชั่น ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานี ใช้น้ำประปาจากแหล่งน้ำดิบในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในการผลิตไฟฟ้า โดยมีสัญญาซื้อขายน้ำประปากับผู้ให้บริการน้ำประปาระยะยาว 25 ปี (ตลอดอายุโรงไฟฟ้า)
- โรงไฟฟ้าราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี (ชื่อเดิม : สหโคเจน (ชลบุรี)) ในจังหวัดชลบุรี และโรงไฟฟ้าราช เอ็นเนอร์จี ระยอง ในจังหวัดระยอง ใช้น้ำดิบจากลุ่มแม่น้ำบางปะกงโดยตรง ผ่านสัญญาซื้อขายน้ำดิบกับผู้ให้บริการน้ำดิบระยะยาว 10 ปี และ 25 ปี ตามลำดับ
- โรงไฟฟ้าที่มีสัญญาซื้อขายน้ำดิบหรือน้ำประปาจะกำหนดให้ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำประปา ต้องจัดหาแหล่งน้ำสำรอง และแหล่งน้ำฉุกเฉินเพื่อรองรับกระบวนการผลิตให้ได้อย่างต่อเนื่อง กรณีที่เกิดภัยแล้งหรือการขาดแคลนน้ำในแหล่งลุ่มน้ำหลัก
- โรงไฟฟ้าแต่ละแห่งจัดให้มีบ่อหรือระบบเก็บน้ำสำรองเพื่อให้ใช้ภายในโครงการได้อย่างน้อย 10 วัน และติดตั้งระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำก่อนเข้าระบบการผลิต
- ทำการเพิ่มรอบการใช้น้ำหมุนเวียนในระบบหล่อเย็นให้ได้มากที่สุด เพื่อลดการดึงน้ำดิบเข้าสู่กระบวนการผลิต
- เพิ่มการใช้น้ำซ้ำภายในโครงการ เช่น การนำน้ำทิ้งที่ผ่านกระบวนการผลิตแล้วมาบำบัดด้วยระบบ RO เพื่อให้ได้คุณภาพและนำกลับไปใช้ในกระบวนการผลิต การนำน้ำฝนมาใช้ประโยชน์ในกระบวนการผลิต หรือนำมาใช้ในการล้างเครื่องจักรอุปกรณ์/รดน้ำต้นไม้
- ทำการตรวจสอบระบบและท่อส่งน้ำเพื่อป้องกันการรั่วไหลของน้ำดิบและน้ำประปาตามแผนอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดการสูญเสียน้ำ




